พ่อแม่แบบไหน ‘วัยรุ่นไม่เซ็ง’
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 สิงหาคม 2552 17:30 น.
พฤติกรรมของเด็กที่เพิ่งพ้นชั้นประถมมาหมาดๆ โดยเฉพาะเด็กม.1 อาจทำให้พ่อแม่กุมขมับ เมื่อฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง มุมมองที่เปลี่ยนไป กับสังคมที่กดดัน และร่างกายที่ไม่เหมือนเดิมของพวกเขาที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้พ่อแม่และเข้าใจกันและกันเหมือนที่ผ่านมา
เพียงชั่วข้ามคืนของเด็ก ป.5-ป.6 ที่เตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมเด็กมัธยมและก้าวสู่ ‘วัยรุ่น’ วัยที่ถือคติ ‘พ่อแม่ไม่เคยเข้าใจเลย’ ...'ทำแบบนี้ วัยรุ่นเซ็ง' อาจทำให้พ่อแม่หลายคนตั้งรับไม่ทัน และมีปัญหาตามมาในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว ที่พูดกันน้อยลง ไกลกันมากขึ้น และเริ่มห่างเหินกันในที่สุด
ทั้งนี้การที่เด็กวัย12-13 ขวบเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง มีโลกส่วนตัว และเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดแต่ประการใด เพราะมันเป็นธรรมชาติและเป็นที่มาของทุกคนในการเปลี่ยนตัวเองเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวต่อไป
แต่ทว่าในช่วงระยะเวลาที่ลูกกำลังเข้าสู่วัยรุ่นนั้น ควรมีวิธีตั้งรับอย่างไรบ้าง นั่นคือโจทย์ของคนเป็นพ่อแม่ที่ต้องตอบและแก้ปัญหานั้นไปให้ได้
ทั้งนี้นักเขียนหนังสือเดอะ จูวิช ปริ๊นเซส ไกด์ ทู แฟบบิวลัสซิตี้ (The Jewish Princess Guide to Fabulosity) อย่างเทรซี่ ไฟน์ และจอร์จี้ ทาร์น ได้เสนอกลวิธีเพิ่มรักและเข้าใจของพ่อแม่ให้ถูกใจลูกวัยรุ่น 10 ข้อปฏิบัติดังนี้
ภาพจาก
www.photobucket.com 1. ไม่ตกหลุมพรางวัยรุ่น
พ่อแม่หลายคนตกหลุมพรางวัยรุ่นมานับไม่ถ้วน โดยหลุมพรางที่ว่านี้คือ ความหงุดหงิดของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกทำตัวขัดใจ ทั้งๆที่ทราบดีว่าสิ่งที่เขาเป็นนั้นเพราะเป็นนิสัยเด็กวัยรุ่นก็ตาม
อาการขี้หงุดหงิด ฉุนเฉียวของพ่อแม่ จะทำให้พ่อแม่กลายเป็นผู้แพ้ในที่สุด เพราะขณะที่ลูกแปรปรวน พ่อแม่ไม่เข้าใจ มันจะทำให้บ้านที่เคยอยู่กลายเป็น ‘สมรภูมิใต้หลังคา’ ไปในทันที
ลูกอาจสร้างโลกส่วนตัว ไม่ว่าจะอยู่ในห้องหรือสังคมอินทอร์เน็ต โดยเฉพาะการแชท เฟสบุ๊ค เขียนบล็อก หรือมายสเปซก็ตาม ที่เป็นพื้นที่ให้เขาได้ระบายอารมณ์และปลดปล่อยด้วยภาษาที่พ่อแม่อาจจะไม่เข้าใจ โดยวัยรุ่นนิยมเรียกกันว่า MSN (ในที่นี้หมายถึง Mum Says No)
ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ใกล้ชิดและเข้าใจว่ามันเป็นช่วงวัยของเขา ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่ลูกๆวัยนี้มักมีความลับกับพ่อแม่ ไม่ค่อยอยากบอกอะไร ยกเว้นต้องการคำปรึกษาและขอเงิน
ยิ่งไปกว่านั้นควรพยายามหาอะไรบางอย่างที่จะสามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกได้เช่น เช่น ช้อปปิ้ง หรือมีช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเพื่อเปิดใจคุยกันตามประสาพ่อ-แม่-ลูก ซึ่งอาจจะดูยุ่งยากแต่มันก็ได้อะไรดีๆและคุ้มค่าทีเดียว
2.แฟชั่น ‘ขัดใจพ่อแม่’...อิสระ และ เข้าใจ
นอกจากปัญหาโลกส่วนตัวสูงในวัยรุ่นจะทำให้พ่อแม่กังวลแล้ว แฟชั่นการแต่งตัวสไตล์ขัดใจพ่อแม่นั้น ก็เป็นปัญหาที่ตามมาติดๆไม่แพ้กัน
อย่างไรก็ดี ก่อนที่พ่อแม่จะลงความเห็นว่า ลูกกำลังแต่งตัว ‘สไตล์ขัดใจพ่อแม่’ นั้น พ่อแม่ควรนั่งและระลึกถึงวันวานสมัยที่เป็นวัยรุ่นบบ้างว่าสมัยนั้นแฟชั่นเป็นแบบนั้น ตามกระแสหรือไม่ และในปัจจุบันมุมมองและสไตล์การแต่งตัวเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหนกัน
หากแฟชั่นและสไตล์การแต่งตัวของลูกจะดูขัดลูกหูลูกตาพ่อแม่ไปบ้าง แม้ว่าทั้งพ่อและแม่จะพยายามอธิบายให้ลูกฟังมากน้อยแค่ไหน ว่าทำไมถึงไม่ชอบให้ลูกแต่งตัวแบบนั้น
สิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำได้คือ พ่อแม่ต้องเข้าใจเขาว่านั่นคือ ‘วัยรุ่น’ ให้อิสระและเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดนั้น มันไม่สูญเปล่า เพราะสิ่งที่พูดออกไปนั้น ดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจ แต่แท้ที่จริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันจะซึมซับเขาไปเรื่อยและลูกจะคิดได้ในสักวัน แต่ทว่าสิ่งที่พ่อแม่พร่ำบอกนั้น อย่าแสดงจนให้ลูกรู้สึกว่า พ่อแม่ขี้บ่น จู้จี้ จนเขาอึดอัด
3. เชื่อมั่นในตัวลูก
ถ้าพ่อแม่เชื่อมั่นในตัวลูก ความเชื่อมั่นจะทำให้ลูกไว้ใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพ่อแม่ต้องอยู่ให้เขามีอิสระในขอบเขต ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย
4. พูดด้วยความสัตย์จริง
ลูกอาจจะไม่ฟังพ่อแม่ หรือฟังน้อยกว่าเมื่อก่อนเพราะมีความเชื่อมั่นในตัวเองและยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก แต่อย่างน้อย การที่พ่อแม่ไม่โกหก และพูดกับลูกอย่างเปิดใจ มันจะทำให้พ่อแม่รู้สึกดีขึ้นและถ้าเขาเปิดใจกับพ่อแม่ นั่นหมายถึงว่าพ่อแม่มีโอกาสที่จะใกล้ชิดเขามากขึ้น
5. กอด
ไม่มีใครแก่เกินไปที่จะกอดกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยไหนๆ การที่พ่อแม่และลูกได้กอดกันบ้าง ความเป็นเด็กที่หล่นหายไปจะกลับมาอีกครั้ง และความรัก ความเข้าใจจะทำให้สัมพันธ์ของพ่อแม่และลูกดีขึ้น แม้ลูกจะมีความเป็นวัยรุ่นมากน้อยแค่ไหนก็ตาม